ยินดีต้อนรับทุกท่าน

วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ประวัติความเป็นมา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม


ประวัติความเป็นมา

พัฒนาการของมหาวิทยาลัยมหาสารคามกับภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ดินแดนอีสาน

ดินแดนอีสานได้ปรากฎมีความสัมพันธ์กับรัฐศูนย์กลางของคนไทยที่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา มาตามลำดับ ตั้งแต่สมัยอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงเทพฯ โดยภายหลังที่เมืองสุวรรณภูมิแยกจากการขึ้นตรงต่อจำปาศักดิ์มาขึ้นกับอยุธยา ซึ่งหัวเมืองต่างๆในอีสานต่างขึ้นกับสุวรรณภูมิต่อหนึ่ง ภายหลังได้เปลี่ยนมาขึ้นกับโคราช และต่อมาจึงได้ให้ทุกหัวเมืองของอีสานขึ้นกับกรุงเทพฯ หลังจากเกิดกรณีเจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. 2369-2371) แต่ความสัมพันธ์ของหัวเมืองอีสานกับศูนย์กลางของรัฐไทย อยู่ในลักษณะเมืองขึ้นที่เพียงส่งส่วยบรรณาการและป้องกันภัยจากญวนเท่านั้น

กระทั่งความสำคัญของดินแดนและหัวเมืองอีสานได้ปรากฎความสำคัญชัดเจนในช่วงที่กระแสการล่าอาณานิคมของประเทศตะวันตกที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองต่อหัวเมืองแถบนี้ใหม่ รวมทั้งการปฏิรูปการศึกษา ทั้งนี้เพื่อให้คนในรัฐสยามสามารถอ่าน เขียน พูดและเรียนมาตรฐานความรู้อย่างเดียวกัน เพื่อสร้างความเป็น ‘รัฐชาติ ’ (Nation State) ขึ้นมา ครั้นยุคจากการล่าอาณานิคมทางดินแดนสิ้นสุดลง ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองโลกได้แบ่งขั้วการเมืองออกไปอีก ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวประเทศไทยได้มีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอันเกิดจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก แผนพัฒนาประเทศทั้งทางการและไม่ทางการได้ทะยอยออกมาใช้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลตระหนักถึงและเข้าใจว่าการพัฒนาประเทศนั้น เครื่องมือที่สำคัญคือคน ซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ดังนั้นปัจจัยที่นำมาพัฒนาคนที่สำคัญคือให้ การศึกษา จึงเป็นลงทุนที่เร่งด่วน รัฐบาลในยุคต่างๆได้ให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่องหนักเบาตามสถานการณ์และความสนใจของผู้นำในช่วงต่างๆ

เมื่อพิจารณาจากบริบททางประวัติศาสตร์มหาวิทยามหาสารคามนั้นไม่ได้ยืนหยัดอยู่เพียงลำพัง แต่ได้มีปฏิสัมพันธ์เชื่อมโยงกับชุมชนและสังคมตลอดช่วงเวลา ภาพของมหาวิทยาลัยในช่วงต่างๆ จึงสามารถสื่อสะท้อนความคิด โลกทัศน์ ชีวทัศน์ของคนในแต่ละช่วงเวลาได้พอสมควร รวมทั้งมหาวิทยาลัยยังเป็นผลผลิตของท้องถิ่นและชุมชน ซึ่งได้มีการสร้างสมมาหลายช่วงอายุคน โดยได้ตกผลึกจากการสั่งสมของสิ่งที่เรียกว่า ‘ตัวตน’ และได้เป็นลักษณะเฉพาะของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

โรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูงถนนประสานมิตร

แรกเริ่มก่อนที่จะมีการก่อตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูง นั้นวงการศึกษา ของไทยประสบปัญหาในความล้าหลังของการศึกษาประชาชนส่วนใหญ่ยังมีมาตรฐานการศึกษาอยู่ในเกณฑ์ต่ำ,โดยเฉพาะบุคคลที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทความรู้นั้นยังมีข้อจำกัดหลายประการ และยังประสบปัญหาอื่นอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะพื้นที่ตั้งโรงเรียน ซึ่งต้องประสบกับการย้ายที่ตั้งอยู่เสมอ เช่น ในพ.ศ. 2484 เมื่อรัฐบาลได้สถาปนากระทรวงอุตสาหกรรม ใช้พื้นที่ตั้งของโรงเรียนแห่งเดิม จึงจำเป็นต้องย้ายสถานที่ตั้งมาที่ใหม่

ภายหลังได้มีผู้ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาท่านหนึ่งจึงได้พยายามแสวงหาสถานที่ที่เหมาะสมเพื่อก่อตั้งกิจการวิชาครู ให้เป็นหลักฐานมั่นคงสืบไป คือ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ซึ่งมีความกังวลต่อสภาพการณ์ดังกล่าว จนสามารถมาได้พื้นที่บริเวณถนนประสานมิตร ริมคลองแสนแสบ ซึ่งเดิมพื้นที่ ดังกล่าวก่อนนั้นเคยใช้เป็นฟาร์มเลี้ยงโค เพราะในระหว่างสงครามไม่มีนมเนยเข้ามาจากต่างประเทศ ท่านจึงได้ทำหนังสือราชการขอซื้อที่จากกระทรวงเกษตรทันที ในราคาวาละ 38 บาท รวมทั้งขอซื้อจากเจ้าของรายอื่นใกล้เคียงเพิ่มเติม

จากนั้นจึงได้มีการก่อสร้างอาคารและจัดให้มีการประชุมกัน ในวันที่ 2 พฤษภาคม 2492 เพื่อกำหนดนัดหมายทำความเข้าใจ เรื่องคำสั่งเปิด โรงเรียน และแต่งตั้งคณะกรรมการและระเบียบ ลงวันที่ 28 เมษายน 2492 จึงได้กำหนดวันดังกล่าวเป็นวันก่อตั้งโรงเรียน และมีการพิจารณาตั้งชื่อชั่วคราวว่า ' โรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูงที่ถนนประสานมิตร อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนคร'

วิทยาลัยวิชาการศึกษา

ต่อมาวงการศึกษาได้ประสบปัญหาเข้ามาอีกทั้งภาวะการขาดแคลนครูเป็นอันมากและวุฒิครูสูงที่สุดคือวุฒิป.ม.(ประกาศนียบัตรประโยคครูมัธยม) ซึ่งเทียบเท่ากับอนุปริญญาเท่านั้น ทำให้เกิดความล้าหลังในอาชีพครู, อีกทั้งครู ป.ม. บางคนเมื่อศึกษาเพิ่มเติมสูงขึ้นได้ปริญญาทางด้านอื่นแล้วต่างลาออกไปประกอบอาชีพใหม่ที่เข้าใจว่ามีความก้าวหน้ามากกว่า ผู้ใหญ่ในวงการศึกษาจึงได้มีการปรึกษาหารือและดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาตามลำดับ แต่ความเข้าใจในเวลานั้นของผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะบุคคลในพรรครัฐบาล จึงต้องใช้ความพยามยามอย่างมาก

ดร. สาโรช บัวศรี เป็นบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้เข้าชี้แจงให้คณะรัฐบาลเข้าใจถึงเหตุและผลที่จะดำเนินการและสิ่งที่เกิดขึ้น หากให้สามารถเปิดสอนครูถึงระดับปริญญา และสามารถชี้แจงจนเข้าใจร่วมกันได้ ซึ่งในที่สุดที่ประชุมจึงได้มีมติยอมรับ และผ่านพระราชบัญญัติวิทยาลัยวิชาการศึกษาออกมา แต่กว่าที่จะได้มีการยอมรับนั้นค่อนข้างพบอุปสรรคพอสมควร

“ตอนนั้นในหมู่ประชาชนความคิดที่ว่าจะให้ครูเรียนถึงปริญญายังไม่มี ดังนั้นการเสนอให้ครูมีการศึกษาถึงระดับปริญญาตรีเป็นของที่แปลกมาก อีกประการหนึ่งนั้นจะให้สถาบันการศึกษาระดับวิทยาลัยประสาทปริญญานี้ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ ฉะนั้นพอกฎหมายไปถึงพรรคเสรีมนังคศิลาแล้ว ผมก็ต้องไปชี้แจงหนักหน่วงมาก เพราะท่านผู้แทนสมัยโน้นเขาไม่เข้าใจเลย เป็นวิทยาลัยอะไรให้ปริญญา? เป็นครู, เป็นศึกษาธิการอำเภอจะเอาปริญญาเชียวหรือ? ผมก็ต้องชี้แจงมากมาย…

…แต่พอมาถึงประเด็นที่ว่า วิทยาลัยจะประสาทปริญญาได้นี่ไม่เคยเห็นมีแต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เท่านั้น เป็นแค่วิทยาลัยจะมาประสาทปริญญาไม่เห็นด้วย เป็นไปไม่ได้ ผมก็ออกไปชี้แจงอีก…แต่เขาก็ไม่ฟังเสียง เป็นวิทยาลัยจะมาประสาทปริญญาได้อย่างไร ตอนนั้นผมก็หนักใจมาก แต่ก็กัดฟันชี้แจงต่อไปอีก แล้วก็เป็นการบังเอิญมีรัฐมนตรีท่านหนึ่งซึ่งอยู่ในที่ประชุมและผมทราบลูกของท่านเรียนอยู่ที่วิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐ California กำลังทำปริญญาเอกด้วย ทำไมทำได้ล่ะ เขาจึงค่อยเงียบเสียงลง…(ศาสตราจารย์ ดร. สาโรช บัวศรี ปราชญ์ผู้ทรงศีล . 2531:63 – 64.)

อย่างไรก็ตามในที่สุดก็สามารถตราพระราชบัญญัติวิทยาลัยวิชาการศึกษาได้สำเร็จ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2497 ระหว่างนั้นอาจารย์บุญถิ่น อัตถากร อธิบดีกรมการฝึกหัดครู (พ.ศ.2500 –2513) และเป็นคณะกรรมการร่วมของโครงการพัฒนาการศึกษาด้วย ซึ่งให้ความสำคัญกับงานฝึกหัดครูอย่างมาก จากแนวคิดในการดำเนินการขยายการฝึกหัดครูระดับปริญญาไปสู่ส่วนภูมิภาคนั้น จึงได้มีการขยายวิทยาลัยวิชาการศึกษา ซึ่งขณะนั้นยังสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และมีความคล้ายคลึงทั้งในที่มา จุดประสงค์และการดำเนินการเพื่อผลิตบุคลากรวิชาชีพครู เหมือนกับกรมการฝึกหัดครู โดยแนวคิดของอาจารย์บุญถิ่น อัตถากรนั้น

“…ต้องการใช้การศึกษาพัฒนาชุมชนในชนบท โดยต้องรีบผลิตครูที่มีคุณภาพและจำนวนมากพอเพียงออกไปเป็นผู้นำ โดยการศึกษาฝึกหัดครูจะต้องเป็นขั้นๆโดยลำดับจนถึงขั้นปริญญา ขณะเดียวกันก็ค่อยลดการผลิตครูระดับประกาศนียบัตรลงจนเลิกไปในที่สุด และผลิตครูขั้นปริญญาเพิ่มขึ้นๆ และเมื่อถึงโอกาสอันสมควร, สถานศึกษาฝึกหัดครู , สถานศึกษาอาชีวศึกษาและสถาบันขั้นปริญญาต่างๆ ซึ่งอยู่ในจังหวัดเดียวกันและจังหวัดใกล้เคียง ก็จะรวมกันเป็นมหาวิทยาลัยภูมิภาค “ (กรมการฝึกหัดครู กระทรวงศึกษาธิการ. 2535:139.)

จากนั้นจึงได้มีการขยายวิทยาเขตไปสู่ภาคต่างๆทุกภาค โดยได้เปิดสอนแห่งเดียวในแต่ละภาค คือ ภาคเหนือเปิดที่พิษณุโลก (25 มกราคม 2510) ภาคใต้ที่สงขลา (1 ตุลาคม 2511) ภาคตะวันออกที่ชลบุรี (8 กรกฎาคม 2498) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มหาสารคาม และกรุงเทพฯที่บางเขน (27 มีนาคม 2512)

วิทยาลัยวิชาการศึกษา วิทยาเขตมหาสารคาม

บุคคลที่มีคุณูปการต่อวงการศึกษาไทยท่านหนึ่ง คืออาจารย์บุญถิ่น อัตถากร อดีตอธิบดีกรมการฝึกหัดครู (พ.ศ. 2500 - 2513) อีกทั้งมีภูมิลำเนากำเนิดอยู่ที่จังหวัดมหาสารคามซึ่งได้มีแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาตอนนั้นว่า ต้องการใช้การศึกษาพัฒนาชุมชนในชนบท โดยต้องรีบผลิตครูที่มีคุณภาพและจำนวนมากพอเพียงออกไปเป็นผู้นำ โดยการศึกษาฝึกหัดครูจะต้องเป็นขั้นๆ โดยลำดับจนถึงขั้นปริญญา ขณะเดียวกันก็ค่อยลดการผลิตครูระดับประกาศนียบัตรลงจนเลิกไปในที่สุด และผลิตครูขั้นปริญญาเพิ่มขึ้นๆ และเมื่อถึงโอกาสอันสมควร, สถานศึกษาฝึกหัดครู , สถานศึกษาอาชีวศึกษา และสถาบันขั้นปริญญาต่างๆ ซึ่งอยู่ในจังหวัดเดียวกันและจังหวัดใกล้เคียง ก็จะรวมกันเป็นมหาวิทยาลัยภูมิภาค ทั้งนี้อาจารย์บุญถิ่น อัตถากร ได้มีแนวคิดและเหตุผลที่เลือกจังหวัดมหาสารคามให้เป็นที่ตั้งของวิทยาลัย “ครูปริญญา” ที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นว่า

“…ทางภาคเหนือนั้น เดิมเราตั้งใจจะเปิดที่เชียงใหม่ก่อน แต่เมื่อมีมหาวิทยาลัยตั้งขึ้นในระยะที่เรากำลังดำเนินการอยู่ จึงเปิดที่พิษณุโลก ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นขั้นแรกเตรียมจะเปิดที่อุบลหรืออุดรธานี แต่ในระยะนั้นแถบชายแดนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่ค่อยเรียบร้อยจึงเปิดที่มหาสารคาม ในภาคใต้และภาคกลางก็จะเปิดหลายแห่ง แต่เนื่องจากกำลังคนมีจำกัด จึงเปิดเพียงสองแห่งไปตามกำลังคนที่มีอยู่ในขณะนั้น คือที่สงขลาและบางเขน"
(กรมการฝึกหัดครู กระทรวงศึกษาธิการ.2535: 137)

ในส่วนของวิทยาลัยวิชาการศึกษา มหาสารคามในช่วงระยะแรกของการก่อตั้งนั้นต้องประสบปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานอันเกิด จากความไม่พร้อมในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็น อาคารสถานที่ บุคลากร อุปกรณ์ครุภัณฑ์ประกอบการเรียนการสอน จึงต้องอาศัยวิทยาลัยครูมหาสารคามในเบื้องต้นเกือบทั้งหมดที่กล่าวมาช่วยพยุงและเป็นพี่เลี้ยงในช่วงก่อร่างสร้างตัวซึ่งปัญหาดังกล่าว วิทยาลัยวิชาการศึกษาอื่นที่ไปตั้งในแต่ละภูมิภาคต่างประสบเช่นกันและแก้ปัญหาดังที่กล่าวมา

หลักสูตรที่เปิดสอนในปีการศึกษาแรก พ.ศ. 2511 มี 2 วิชาเอกคือ วิชาเอกภาษาอังกฤษและชีววิทยา โดยสามารถเปิดรับนิสิตได้ทั้งสิ้น 134 คน ซึ่งนิสิตที่มาเรียนในระยะแรก ปีการศึกษา 2511 – 2515 เป็นนิสิต ที่คัดเลือกจากนักศึกษาที่มีผลการเรียนดีจากวิทยาลัยครูทั่วประเทศมาศึกษาหลักสูตรปริญญาตรี 2 ปี

ในปีการศึกษา 2512 อาคารของวิทยาลัยได้สร้างเสร็จและสามารถเปิดใช้ได้ คือ อาคารเรียน 1 ,หอสมุด, หอศิลป์ ,โรงอาหาร , หอพักชาย และหอพักหญิง จากนั้นวิทยาลัยจึงได้มีการพัฒนามาตามลำดับ

โดยในปี 2514 ได้มีการดำเนินการขอพื้นที่ฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นที่ราช พัสดุ ของกองทัพ อากาศ ซึ่งได้ใช้เป็นสนามแข่งม้าและสนามบินจากนั้นจึงได้มีการก่อสร้างอาคารเรียนและหอพักเพิ่มเติมขึ้นมา

มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตมหาสารคาม



ณ วันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2517 ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. 2517 ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 91 ตอนที่ 112 ดังนั้น ในวันที่ 29 มิถุนายน 2517 โดยรวมวิทยาลัยเขตทั้งหมดเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ แล้วโอนไปสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย และเรียกชื่อมหาวิทยาลัยและชื่อวิทยาเขตตามสถานที่ตั้งของวิทยาเขตต่อท้าย ยกเว้นวิทยาเขตพระนครให้เปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางเขน

ก่อนที่จะได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยได้นั้น ทางวิทยาลัยวิชาการศึกษาได้เริ่มมีการเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 ทั้งนี้ เมื่อครั้งที่ศาสตราจารย์ ดร. สุดใจ เหล่าสุนทร เข้าดำรงตำแหน่งอธิการวิทยาลัยวิชาการศึกษา และเห็นว่าการบริหารงานของวิทยาลัยนั้นขาดความคล่องตัวอยู่มาก เนื่องด้วยข้อจำกัดหลายประการอันจะเป็นปัญหาระยะยาวในการขยายผลด้านการศึกษาในอนาคตต่อไป ท่านจึงได้ร่างพระราชบัญญัติเพื่อขอยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยต่อสภาวิทยาลัยวิชาการศึกษา โดยในระหว่างนั้น ศาสตราจารย์ ดร. สุดใจ เหล่าสุนทร ได้ออกเอกสารที่ช่วงนั้นเรียกว่า ‘เอกสารปกขาว’ เพื่อชี้แจงหลักการและเหตุผลดังกล่าวแก่ผู้ที่สนใจรับทราบ โดยคำปรารภของเอกสารชิ้นนี้ ได้กล่าวว่า

"…เมื่อข้าพเจ้าได้รับตำแหน่งอธิการวิทยาลัยวิชาการศึกษาเมื่อเดือนมกราคม 2512 ได้พบว่าการดำเนินงานของวิทยาลัยวิชาการศึกษาไม่มีความคล่องตัวเป็นอันมาก จึงได้ร่างพ.ร.บ. ยกฐานะวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยเสนอต่อประธานสภาวิทยาลัยวิชาการศึกษา เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2512 และรอรับฟังพิจารณาอยู่ 1 ปีเต็ม จนถึงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2512 จึงได้เสนอร่าง พ.ร.บ. นี้ต่อประธานสภาวิทยาลัยวิชาการอีกครั้งหนึ่ง และเสนอให้เลขาธิการสภาการศึกษาแห่งชาติ เพื่อพิจารณาอีกทางหนึ่ง



อาจจะเป็นเพราะวิทยาลัยวิชาการศึกษาเป็น ‘วิทยาลัย’ ในความหมายของความเข้าใจของบุคคลทั่วไปว่า ไม่ใช่สถานศึกษาชั้นปริญญาในระดับมหาวิทยาลัย ดังที่วิทยาลัยวิชาการศึกษาได้ดำเนินงานอยู่จริง จึงเห็นสมควรที่จะออกเอกสารฉบับนี้ เพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่บุคคลที่สนใจในการศึกษาขั้น ‘มหาวิทยาลัย’…” (ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.2541:270.)

โดยได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติต่อไปตามลำดับ โดยเป็นการดำเนินการโดยวิธีการที่ถูกต้องตามขั้นตอนระเบียบแบบแผนของทางราชการ เริ่มตั้งแต่สภาวิทยาลัยวิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ สภาการศึกษา สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จากนั้นเรื่องได้ติดชะงักไปในช่วงหนึ่ง อันเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศที่ไม่เอื้อในเวลานั้น การดำเนินการจึงได้มายุติโดยการยกฐานะวิทยาลัยวิชาการศึกษาเป็นกรมหนึ่งของกระทรวงศึกษาธิการ ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 216 ลงวันที่ 29 กันยายน 2515

จากการที่วิทยาลัยโดยความร่วมมือทั้งอาจารย์และนิสิตได้พยายามดำเนินการมาตามลำดับอย่างสม่ำเสมอและด้วยความจริงจัง กระทั่งในวันที่ 16 มกราคม 2517 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ยกฐานะวิทยาลัยวิชาการศึกษาเป็นมหาวิทยาลัย และได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติ กระทั่งมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. 2517 ขึ้นมา

ชื่อมหาวิทยาลัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานให้เป็นมงคลนามและพระราชทานความหมายว่า " มหาวิทยาลัยที่เจริญเป็นศรีสง่าแก่มหานคร " โดย ' วิโรฒ ' มาจาก ' วิรูฒ '(ภาษาสันสกฤต) ' วิรุฬห์ ' (ภาษาบาลี) ซึ่งแปลว่า " เจริญ , งอกงาม " ซึ่งก่อนที่จะได้รับการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยนั้น ทางวิทยาลัยวิชาการศึกษาได้ดำเนินการมาตามขั้นตอนและลำดับ โดยได้เริ่มมีการเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2512 และเป็นการดำเนินการโดยวิธีการที่ถูกต้องตามขั้นตอนระเบียบแบบแผนของทางราชการ เริ่มตั้งแต่สภาวิทยาลัยวิชาการศึกษา, กระทรวงศึกษาธิการ , สภาการศึกษา , สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี , ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จากนั้นเรื่องได้ติดชะงักไปในช่วงหนึ่ง อันเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศที่ไม่เอื้อในเวลานั้น การดำเนินการจึงได้มายุติโดยการยกฐานะวิทยาลัยวิชาการศึกษาเป็นกรมหนึ่งของ กระทรวงศึกษาธิการ ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 216 ลงวันที่ 29 กันยายน 2515

ภายหลังทางวิทยาลัยโดยความร่วมมือทั้งอาจารย์และนิสิต ได้พยายามดำเนินการมาตามลำดับ ทั้งนี้โดยตระหนักจากการพิจารณาองค์ ประกอบความพร้อมในด้านต่างๆของวิทยาลัยและประโยชน์อันจะเกิดขึ้นต่อ วิทยาลัยและในวงกว้างทางการศึกษาและประเทศชาติต่อไป ทางวิทยาลัย จึงได้มีการชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นในการยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยได้ดังนี้
วิทยาลัยวิชาการศึกษามีความพร้อมโดยสมบูรณ์ที่จะเติบโต เป็นมหาวิทยาลัย ทั้งนี้ทางวิทยาลัยมีความพร้อมของอุปกรณ์ประกอบการสอน อาจารย์ และอาคารสถานที่เพียงพอที่จะเปิดสอนสาขาอื่นๆได้โดยไม่ต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น
ความเจริญก้าวหน้าของวิทยาลัยวิชาการศึกษา
ความคล่องตัวในการบริหารงาน
ความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการความหลากหลายทางการศึกษาที่ จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างกว้างขวาง
ในด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

แต่ทั้งหมดที่กล่าวมาทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการแก้ไขพระราชบัญญัติและยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัย จากการดำเนินการมาตามลำดับอย่างสม่ำเสมอและด้วยความจริงจัง กระทั่งในวันที่ 16 มกราคม 2517 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ยกฐานะ วิทยาลัยวิชาการศึกษาเป็นมหาวิทยาลัย และได้มีการเสนอร่างพระราชบัญญัติสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติ กระทั่งมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พ.ศ. 2517 ดังกล่าวมาข้างต้น หลังจากที่ได้ยกฐานะแล้ว ทางมหาวิทยาลัยฯได้นำวิธีสอบคัดเลือกนิสิต เข้าศึกษาใน 2 ระดับ คือชั้นปีที่ 1 และ 3 ซึ่งในปีการศึกษานี้มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคามยังคงรับนิสิตภาคปกติที่จบป.กศ. สูงเข้าศึกษาชั้นปีที่ 3 โดยวิธีการสอบคัดเลือกเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ คือได้เปิดรับสมัครสอบนิสิตชั้นปีที่ 1 เข้าเรียนหลักสูตรปริญญาตรี 4 ปีเป็นปีแรกโดยใช้ วิธีการสอบผ่านทบวงมหาวิทยาลัย โดยรับทั้งสิ้น 63 คน สำหรับวิชาเอกที่เปิดในปีการศึกษา 2517 มีดังนี้ สาขาวิชาประวัติศาสตร์ , ฟิสิกส์ , เคมี , ภูมิศาสตร์ ,คณิตศาสตร์ , ภาษาไทย , สังคมศึกษา ,ภาษาอังกฤษ , ชีววิทยา , และการประถมศึกษาซึ่งได้ใช้วิธีการสอบแข่งขันในการคัดเลือกผู้มาเรียนเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนั้นยังได้ยกฐานะหน่วยงานสำคัญขึ้นมา 2 หน่วย งานใน ปีพ.ศ. 2529 พร้อมกับ ' คณะเทคโนโลยี ' คือ 'สถาบันวิจัยศิลปะและวัฒนธรรมอีสาน ' ตามประกาศทบวงมหาวิทยาลัยในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่ม 103 ตอนที่ 198 หน้า 9 -10 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2529 ' สำนักวิทยบริการ ' ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ หน้า 36 - 42 เล่มที่ 103 ตอนที่ 139 ลงวันที่ 7 สิงหาคม 2529 และ ' สถาบันวิจัยรุกขเวช ' ตามประกาศจัดตั้งในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2536

มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

มหาวิทยาลัยได้มีพัฒนาการมาตามลำดับโดยอาศัยเงื่อนไขของเวลาในการสร้างความพร้อมต่างๆ กระทั่งสามารถดำเนินการแยกเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศสำเร็จภายใต้ชื่อ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2537 โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัย ซึ่งได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 111 ตอนที่ 54 ก นับเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งที่ 22 ของประเทศไทย สำหรับแนวคิดในการแยกตัวเป็นเอกเทศนั้นได้เริ่มปรากฏขึ้นตั้งแต่ปีพ.ศ. 2527 โดย ดร.ถวิล ลดาวัลย์รองอธิการบดีเวลานั้นได้มีแนวความคิดที่จะรวมสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาหลักๆของจังหวัดมหาสารคามเข้าเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกัน แต่แนวคิดดังกล่าวได้ติดขัดปัญหาบางประการจึงไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ เช่น ปัญหาของต้นสังกัดเดิมของแต่ละสถาบัน เป็นต้น ครั้นต่อมาในปี พ.ศ. 2531 รองศาสตราจารย์ ดร. วีระ บุญยกาญจนะเป็นรองอธิการบดีจึงได้มีการเสนอให้แยกออกจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒอีกครั้ง โดยให้ลักษณะเป็นสถาบันในนามของสถาบันบัณฑิตศึกษาเพื่อพัฒนาชนบท แต่ให้มีสถานภาพเป็นมหาวิทยาลัย หากแต่ไม่อาจดำเนินต่อไปให้สัมฤทธิ์ผลได้เช่นกัน

กระทั่งในปี พ.ศ. 2535 เมื่อรองศาสตราจารย์ ดร. จรูญ คูณมีเป็นรองอธิการบดี จึงได้มีสืบสานแนวคิดที่จะแยกตัวออกอีกครั้ง และเริ่มปรากฏผลชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ประกอบกับในช่วงเวลานั้น นายสุเทพ อัตถากร ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการทบวงมหาวิทยาลัย ซึ่งโดยส่วนตัวท่านเองได้ให้สนใจและความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ในการสนับสนุนแนวคิดที่จะให้มีมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นในจังหวัดมหาสารคาม การดำเนินงานจึงได้เริ่มตั้งแต่การแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำโครงการจัดตั้งมหาวิทยาลัยมหาสารคามและคณะกรรมการร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2535 จากนั้นจึงได้ดำเนินงานมาตามขั้นตอนจนสามารถยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยได้สำเร็จดังที่กล่าวข้างต้นในช่วงรองศาสตราจารย์ ดร. บุญชม ศรีสะอาด เป็นรองอธิการบดี ซึ่งได้สืบสานแนวคิดและการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องโดยได้รับความร่วมมืออย่างมุ่งมั่นและจริงจังจากทุกท่านทุกฝ่าย ทั้งบุคคลภายในและภายนอกในสายงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเป็นอันมาก ในระหว่างที่มีการดำเนินการเพื่อยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยเอกเทศนั้นได้มีการทบทวนเรื่องชื่อของมหาวิทยาลัยเพื่อหาความเหมาะสมและเห็นพ้องต้องกันทุกฝ่าย โดยการดำเนินการสำรวจประชามติให้เป็นเอกฉันท์ ซึ่งชื่อที่เสนอในครั้งนั้นมีความหลากหลายของที่มาและแนวคิด ตั้งแต่ชื่อมหาวิทยาลัยอีสาน มหาวิทยาลัยภัทรินธร มหาวิทยาลัยศรีเจริญราชเดช มหาวิทยาลัยศรีมหาชัย มหาวิทยาลัยศรีมหาสารคาม จนกระทั่งได้มาเห็นชอบพร้อมกันต่อชื่อ มหาวิทยาลัยมหาสารคามในเบื้องท้ายดังปรากฏในปัจจุบัน

ภายหลังได้มีการขยายพื้นที่มายัง "ป่าโคกหนองไผ่" ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม บนเนื้อที่ประมาณ 1,300 ขณะนั้นของรองศาสตราจารย์ ดร.ภาวิช ทองโรจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาสารคามคนแรก (พ.ศ. 2538-2546) และได้ดำเนินการสร้างอาคารต่างๆตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 ภายหลังจึงได้ย้ายศูนย์กลางบริหารงานมา ณ ที่ทำการแห่งใหม่ในปีการศึกษา 2542 อีกทั้งยังได้มีการเปิดสาขาวิชาและคณะใหม่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เพื่อเปิดบริการทางการศึกษาให้มีหลากหลายมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันมหาวิทยาลัยได้เปิดสอนหลักสูตรและสาขาวิชาต่างๆ ซึ่งประกอบไปด้วย คณะศึกษาศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะเทคโนโลยี คณะการบัญชีและการจัดการ คณะเภสัชศาสตร์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ คณะวิศวกรรมศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์- ผังเมือง-นฤมิตศิลป์ และโครงการจัดตั้งคณะใหม่อีกทะยอยเปิดในแต่ละปีการศึกษา คือ โครงการจัดตั้งคณะวิทยาการสารสนเทศ โครงการจัดตั้งคณะศิลปกรรมศาสตร์ คณะการโรงแรมและการท่องเที่ยว และ คณะแพทย์ศาสตร์ เป็นต้น

นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังได้เปิดสอนระดับประถมและมัธยมศึกษาใน โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม โดยเปิดสอนในปีการศึกษา 2540 เป็นปีการศึกษาแรกและยังได้ขยายการศึกษาระดับปริญญาตรี ปริญญาโทไปยังวิทยาเขตนครพนมและศูนย์พัฒนาการศึกษาอุดรธานี โดยใช้สอน ระบบทางไกลผ่านดาวเทียม ในเวลานี้ทางมหาวิทยาลัยยังได้มีโครงการที่กำลังดำเนินการและจะดำเนินการอีกมาก ทั้งนี้เพื่อผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นต่อชุมชนท้องถิ่น ภูมิภาค ประเทศชาติและองค์รวมเบื้องปลายต่อไป

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ปรัชญา ปณิธาน

ปรัชญา (Philosophy)
คณะการบัญชีและการจัดการ มุ่งเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม พัฒนาความรู้ความสามารถในวิชาชีพ และสร้างสรรค์วิทยาการด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง สังคม และประเทศชาติได้
ปณิธาน (Determination)
คณะการบัญชีและการจัดการ มุ่งสร้างสรรค์ผลงานทางวิชาการที่มีความเป็นเลิศ และผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ เพียบพร้อมด้วยความรู้ทางวิชาการและวิชาชีพ มีความใฝ่รู้ มีความคิดเชิงวิเคราะห์และริเริ่มสร้างสรรค์ มีคุณธรรม จริยธรรม เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม และดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
วิสัยทัศน์ (Vision)
คณะการบัญชีและการจัดการ เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาชั้นนำ ที่มีความโดดเด่นทางด้านคุณภาพการเรียนการสอน ศักยภาพการพัฒนางานวิจัย และความเป็นเลิศในการบริการวิชาการทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์
พันธกิจ (Mission)
1.
ผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ที่มีความเป็นเลิศ มีศักยภาพและเจตนาที่ดีต่อการประกอบอาชีพ รวมทั้งมีความสามารถในการเป็นผู้ประกอบการอย่างมืออาชีพ เพื่อสนองตอบต่อความต้องการของสังคม
2.
ผลิตผลงานวิจัยที่มีคุณภาพทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ เพื่อสร้างสรรค์องค์ความรู้ใหม่ และประยุกต์ให้เหมาะกับธุรกิจในท้องถิ่น ระดับประเทศ และระดับสากล รวมถึงการผลิตเอกสารและตำราเรียนที่มีคุณภาพ
3.
ให้บริการวิชาการเชิงรุก โดยมุ่งเน้นการถ่ายทอดความรู้ และเสริมสร้างศักยภาพในการดำเนินงานตลอดจนสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน สังคม และประเทศ
4.
พัฒนานิสิตให้มีความพร้อมด้านคุณธรรม จริยธรรม และบุคลิกภาพ โดยผ่านกระบวนการจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมนิสิต เพื่อให้เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
5.
ทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงามทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับชาติ
6.
ประยุกต์ใช้ระบบการบริหารจัดการและเทคโนโลยีที่เป็นเลิศภายในองค์กร โดยใช้หลักธรรมมาภิบาล และวัฒนธรรมคุณภาพ ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการความรู้ทั่วทั้งองค์กร
ค่านิยมร่วม (Share Values)
คณะการบัญชีและการจัดการ ยึดมั่นในความเป็นมืออาชีพ (Professionalism) มีสัมพันธภาพที่ดี (Relationship) สร้างสรรค์นวัฒกรรม (Innovation) มุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงานอย่างมีความสุข (Devotion) และมีคุณธรรม จริยธรรมในการประกอบวิชาชีพ (Ethics)
วัตถุประสงค์ (Objectives)
1.
เพื่อผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรี และระดับบัณฑิตศึกษา ทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ ให้เป็นผู้มีความรู้ความสามารถทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
2.
เพื่อบริการวิชาการทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภายในและนอกมหาวิทยาลัย
3.
เพื่อสร้างสรรค์งานวิจัยทางด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์
4.
เพื่อบริหารจัดการทรัพยากรและการทำงานตามหลักการบริหารจัดการที่ดี


สาส์นคณบดี คณะการบัญชีและการจัดการ




















รศ.ดร.ปพฤกษ์บารมี อุตสาหะวาณิชกิจ คณบดีคณะการบัญชีและการจัดการ
การเตรียมความพร้อมรองรับการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 2558 (Asean Economic Community) การบริหารจัดการองค์กรเชิงรุก และการสร้างนวัตกรรมหลักสูตรที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้สนใจเข้าศึกษาต่อภายในประเทศและต่างประเทศ ได้อย่างหลากหลายทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก จำนวน 8 หลักสูตร 22 สาขาวิชา หลักสูตรภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ภายใต้มุ่งมั่นแสวงหาพันธมิตรทางการศึกษาผ่านบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ในประเทศและต่างประเทศ เพื่อ สร้างมูลค่าเพิ่มของหลักสูตรและการก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ เป็นไป ตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดทุกหลักสูตร โดยเฉพาะหลักสูตรวิชาชีพ ที่มีการรับรองมาตรฐานโดยสภาวิชาชีพ ซึ่งในปีการศึกษา 2556 คณะฯ มีนิสิตใหม่ระดับปริญญาตรี จำนวน 3,303 คน ยิ่งไปกว่านั้นหลักสูตรบัญชีบัณฑิตของคณะยังคงเป็นคณะ/สาขาวิชา ที่ผู้เลือกสมัคร Admissions มากที่สุดเป็นอันดับ 8 จาก 20 อันดับแรก
To celebrate MBS' 15th anniversary, leads you to success

การกำหนดวิสัยทัศน์ที่ท้าทายและชัดเจน “TOP 5 BISINESS SCHOOLS IN THAILAND” ด้วยความมุ่งมั่นของคณบดี
รศ.ดร.ปพฤกษ์ อุตสาหะวาณิชกิจ ในการทำให้ (Mahasarakham Business Schools : MBS) เป็นที่รู้จักและได้รับความไว้วางใจจากผู้ปกครอง ผู้เรียน และผู้สนใจเข้าศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นอย่างกว้างขวาง ด้านการบัญชี บริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และธุรกิจระหว่างประเทศ ในปัจจุบันคณะฯ มีจำนวนนิสิตและมหาบัณฑิตทั้งสิ้น จำนวน 9,733 คน จำแนกเป็นระดับปริญญาตรี จำนวน 9,382 คน ระดับปริญญาโท จำนวน 261 คน และระดับปริญญาเอก จำนวน 90 คน มีคณาจารย์ที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศและต่างประเทศมากกว่า 150 ท่าน โดยปัจจุบันคณะฯ มีอาจารย์ประจำวุฒิปริญญาเอก จำนวน 60 คน อาจารย์ประจำลาศึกษาต่อระดับปริญญาเอก จำนวน 34 คน อาจารย์ประจำวุฒิปริญญาโท จำนวน 57 คน และอาจารย์พิเศษ ผู้เชี่ยวชาญ วิทยากรชื่อดังจากหน่วยงานภายในและภายนอก มาร่วมทำการสอนและเป็นวิทยากรกิจกรรมสำคัญๆ ของคณะฯ จำนวนมาก ได้แก่ กิจกรรม MBS Festival กิจกรรมธรรมศิลป์ กิจกรรม Positioning กิจกรรมงานกิจการนิสิต และกิจกรรมชมรม มากกว่า 200 กิจกรรมให้นิสิตได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ในการสร้างมูลค่าเพิ่มเชิงพาณิชย์ให้กับชุมชน และสังคมรอบๆ มหาวิทยาลัย โดยอาศัยการทำงานร่วมกันเป็นทีม นอกจากนี้นิสิตสาขาการบัญชียังมีการอบรมความรู้ด้านการบัญชีครัวเรือนให้กับชุมชนและการสอนน้องออม นิสิตสาขาวิชาการตลาดสามารถเขียนแผนธุรกิจให้กับชุมชนและส่งเข้าร่วมแข่งขัน จนกระทั่งได้รับรางวัลอันดับหนึ่งจากกรุงไทยต้นกล้าสีขาวอย่างต่อเนื่อง นิสิตสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจเขียนโปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆ ให้กับชุมชน สหกรณ์ และมีการส่งมอบโปรแกรม การใช้งานให้กับชุมชนทุกปี และมีนิสิตของสาขาดังกล่าวเข้าร่วมแข่งขัน 2013 Microsoft Office Specialist World Championship กระทั่งได้รับรางวัลระดับโลก และนิสิตสาขาวิชาธุรกิจระหว่างประเทศได้รับรางวัลชนะเลิศ การแข่งขันโครงการพัฒนาสังคม (Social Enterprise Project) ภายใต้หัวข้อ A Voice in Social Change: A Social Action Plan Challengeจากกระบวนการผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพเป็นไปตามความคาดหวังของผู้ใช้บัณฑิต ส่งผลให้การตรวจประเมินการประกันคุณภาพการศึกษาภายในและภายนอก อยู่ในระดับดีมาก และคณะฯ ได้รับการรับรองระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2008 และระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001:2004 จาก United Registrar of System (Thailand) Ltd. (URS) ถือว่าเป็นคณะฯ แรกของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อยกระดับมาตรฐานคุณภาพสู่สากลให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ

ประวัติ คณะการบัญชีและการจัดการ

คณะการบัญชีและการจัดการ เป็นหน่วยงานหนึ่งของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งจัดตั้งขึ้น ภายใต้ระเบียบมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ว่าด้วยคณะการบัญชีและการจัดการ ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2541 มีลักษณะของการดำเนินงานและรูปแบบของการบริหารงานแบบนอกระบบราชการ เน้นความคล่องตัว มีประสิทธิภาพ และพึ่งตนเองมากที่สุดในการจัดการศึกษา โดยมีสภามหาวิทยาลัยมหาสารคามทำหน้าที่กำกับดูแลและควบคุม

         คณะการบัญชีและการจัดการเริ่มต้นจากภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะมนุษย์ศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ในปีการศึกษา 2538 ได้เปิดสอนหลักสูตรบริหารธุรกิจ (ต่อเนื่อง 2 ปี) สาขาวิชาการบัญชี และสาขาวิชาการตลาดขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จากเดิมที่เปิดสอนเฉพาะวิชาโทบริหารธุรกิจ) โดยจัดสอนในวันเสาร์-อาทิตย์ โดยเป็นโครงการพิเศษ ในปีการศึกษา 2540 ได้เปิดหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (ต่อเนื่อง 2 ปี) สาขาวิชาการจัดการ และสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ และหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตขึ้น พร้อมทั้งปรับปรุงหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (ต่อเนื่อง 2ปี) สาขาวิชาการบัญชีและสาขาวิชาการตลาดด้วย


         ในปีการศึกษา 2546 คณะฯ ได้เปิดสอนหลักสูตรบัญชีบัณฑิต และหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (4 ปี) สาขาวิชาการตลาด สาขาวิชาการจัดการ และสาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ และหลักสูตรบัญชีมหาบัณฑิตขึ้น

         ในปีการศึกษา 2547 คณะฯ ได้เปิดสอนหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (4 ปี) สาขาวิชาธุรกิจระหว่างประเทศ (หลักสูตรนานาชาติ) ขึ้นอีกหลักสูตรหนึ่ง พร้อมทั้งมีการปรับปรุง หลักสูตรต่อเนื่อง 2 ปี และหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตให้มีความทันสมัย และสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และเปิดหลักสูตรบัญชีมหาบัณฑิต หลักสูตรการจัดการ มหาบัณฑิต หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเชิงกลยุทธ์

         ในปีการศึกษา 2548 คณะฯ ได้เปิดหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (4 ปี) สาขาวิชาการจัดการทรัพยากร มนุษย์ สาขาวิชาการจัดการการประกอบการ สาขาวิชาการบริหารการเงิน สาขาวิชาการจัดการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และสาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ และหลักสูตรเศรษฐศาสตร์บัณฑิต (ศ.บ.) สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเทคโนโลยีและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังเปิด ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบัญชี ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการ

         ในปีการศึกษา 2549 คณะฯ ได้เปิดหลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต (ศ.ม.) สาขาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ

         ในปีการศึกษา 2551 คณะฯ ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรให้มีความทันสมัยเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด จำนวน 6 สาขาวิชา ได้แก่ หลักสูตรบัญชีบัณฑิต หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขา วิชาการตลาด สาขาวิชาการจัดการ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ และสาขาวิชาธุรกิจระหว่างประเทศ (นานาชาติ) และหลักสูตรบัญชีมหาบัณฑิต

         ในปีการศึกษา 2553 คณะฯ ได้เปิดโครงการสอบคัดเลือกบุคคลเข้านิสิตปริญญาตรี โครงการพิเศษ ACC.BIZ.SMART เรียน 5 ปี ตรี-โท ประจำปีการศึกษา 2554 ได้แก่
หลักสูตรบัญชีบัณฑิตและหลักสูตรบัญชีมหาบัณฑิต (ACC-SMART)
หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (สาขาวิชาการจัดการ) และหลักสูตรการจัดการมหาบัณฑิต (BIZ-SMART)
หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (สาขาวิชาการจัดการการประกอบการ) และหลักสูตรการจัดการมหาบัณฑิต (CEO-SMART)
หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (สาขาวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์) และหลักสูตรการจัดการมหาบัณฑิต (HR-SMART)
หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (สาขาวิชาธุรกิจระหว่างประเทศ) และหลักสูตรการจัดการมหาบัณฑิต (IB-SMART)
หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ) และหลักสูตรการจัดการมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจ (IT-SMART)
หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ) และหลักสูตรการจัดการมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจ (BIT-SMART)
หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ) และหลักสูตรการจัดการมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจ (ECOM-SMART)
หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (สาขาวิชาการตลาด) และหลักสูตรการจัดการมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการตลาด (MK-SMART)
หลักสูตรเศรษฐศาสตรบัณฑิต (สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ) และหลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ (ECON-SMART) และหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (สาขาวิชาการบริหารการเงิน)
หลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ (FM-SMART) และหลักสูตรระดับปริญญาโทภาคปกติ หลักสูตรบัญชีมหาบัณฑิต หลักสูตรการจัดการมหาบัณฑิต หลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต

         ในปีการศึกษา 2554 คณะฯ ได้เปิดโครงการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อนักธุรกิจรุ่นใหม่ (New.Gen) หลักสูตรบัญชีบัณฑิต หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต และหลักสูตรเศรษฐศาสตรบัณฑิต ประจำปีการศึกษา 2554 ซึ่งเน้นผู้เรียนประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับการดำเนินงานด้านบริหารธุรกิจ เน้นการฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ การวางแผนกลยุทธ์ใหม่ๆ และเน้นการวิเคราะห์สถานการณ์ทางธุรกิจ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และเปิดหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการตลาด

         ในปีการศึกษา 2555 คณะฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรตามระยะเวลาที่กำหนด จำนวน 6 หลักสูตร ได้แก่ สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ สาขาวิชาการบริหารการเงิน สาขาวิชาการจัดการการประกอบการ สาขาวิชาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ สาขาวิชาการจัดการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ

         ในปีการศึกษา 2556 คณะฯ ได้เปิดหลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต (บธ.บ.) สาขาวิชาธุรกิจระหว่างประเทศ (นานาชาติ) เรียน 4 ปี 3 ปริญญา จาก 3 ประเทศ ประจำปีการศึกษา 2556 และได้ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรตามระยะเวลาที่กำหนด จำนวน 6 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรบัญชีบัณฑิต หลักสูตรบริหาร ธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการตลาด สาขาวิชาการจัดการ สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ สาขาวิชาธุรกิจระหว่างประเทศ (นานาชาติ) หลักสูตรบัญชีมหาบัณฑิต

         นับจาก 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 จวบจนถึงปัจจุบัน คณะการบัญชีและการจัดการได้พัฒนาความก้าวหน้าทั้งทางด้านวิชาการและการบริหารจัดการองค์กรที่มุ่งเน้นการยกระดับการบริหารระบบคุณภาพทั้งระบบบริหารคุณภาพภายในประเทศและสากลมาโดยตลอด และเสริมสร้างให้บุคลากรทุกระดับเกิดความตระหนักรับรู้ ยอมรับ และพัฒนางานของตนให้มีคุณภาพมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตลอดจนปลูกจิตสำนึกเพื่อให้เกิดวัฒนธรรมมุ่งคุณภาพทั่วทั้งองค์กรอย่างยั่งยืน กว่า 15 ปี ที่ก้าวเดิน บนเส้นทางการผลิตบัณฑิต และมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบัญชีและสาขาวิชาบริหารธุรกิจ ทำให้ปัจจุบัน คณะฯ ได้ผลิตบัณฑิตเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดออกไปรับใช้สังคมในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และระดับประเทศจำนวนมาก ซึ่งบัณฑิตและมหาบัณฑิตของคณะฯ เป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจในวิชาชีพ การบัญชี บริหารธุรกิจ และเศรษฐศาสตร์ เป็นอย่างดี มีคุณธรรม จริยธรรมที่โดดเด่น และสามารถประยุกต์ความรู้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และช่วยเหลือ สนับสนุน และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาสังคม และประเทศชาติทั้งทางตรงและทางอ้อม นอกจากนี้ คณะฯ ยังได้ให้บริการวิชาการแก่ชุมชน ผู้ประกอบการ และหน่วยงานต่างๆ ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจัดตั้งศูนย์บริการวิชาการ 6 ศูนย์คือ

         กลุ่มงานที่ 1 ศูนย์เสริมสร้างศักยภาพธุรกิจ SMEs (SMEs Competence Building Center) มีภาระหน้าที่เกี่ยวกับการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดตั้งและการประกอบการ การบริหารงานของธุรกิจ ขนาดเล็ก ขนาดย่อม และขนาดกลาง การจัดองค์กรการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และส่งเสริมพัฒนาศักยภาพบุคลากร ด้านงานวิจัย การผลิตผลงานวิชาการ สู่การเผยแพร่ และการนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เชิงสาธารณะ และเชิงนโยบาย ให้กับผู้ประกอบการภาครัฐและเอกชน รวมถึงการให้บริการฝึกอบรมแก่บุคคลทั่วไปและหน่วยงานต่างๆ ในประเด็นและหัวข้อทางด้านการบริหารจัดการธุรกิจ และการตลาด นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่ดูแลหน่วยงานวิจัยเฉพาะทาง ในหลักสูตรต่อไปนี้ หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการ สาขาวิชาการจัดการการประกอบการ สาขาวิชาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ สาขาวิชาการตลาด สาขาวิชาการบริหารการเงิน หลักสูตรการจัดการมหาบัณฑิต หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชา การจัดการการตลาด สาขาวิชาการจัดการเชิงกลยุทธ์ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการ และปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการการตลาด

         กลุ่มงานที่ 2 ศูนย์พัฒนาวิชาชีพบัญชี (Accounting Professional Development Center) มีภาระหน้าที่เกี่ยวกับการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการบัญชี และภาษีอากรโดยเฉพาะ ได้แก่ การจัดทำบัญชี การวางระบบบัญชี และการภาษีอากร และส่งเสริมพัฒนาศักยภาพบุคลากร ด้านงานวิจัย การผลิตผลงานวิชาการ สู่การเผยแพร่และการนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เชิงสาธารณะ และเชิงนโยบาย ให้กับผู้ประกอบการภาครัฐและเอกชน รวมถึงการให้บริการฝึกอบรมแก่บุคคลทั่วไปและหน่วยงานต่างๆ ในประเด็นและหัวข้อทางด้านการบัญชีและภาษีอากร และการให้บริการเป็นหน่วยตรวจสอบบัญชีของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ดูแลหน่วยงานวิจัยเฉพาะทาง ในหลักสูตรต่อไปนี้ หลักสูตรบัญชีบัณฑิต หลักสูตรบัญชีมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชาการสอบบัญชีและการตรวจสอบภายใน สาขาวิชาระบบสารสนเทศทางการบัญชี และหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบัญชี

         กลุ่มงานที่ 3 ศูนย์ที่ปรึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Development and Consulting Center) มีภาระหน้าที่เกี่ยวกับการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้แก่ การบริหารระบบคอมพิวเตอร์ การเรียนรู้ และการประยุกต์ใช้ซอฟต์แวร์ธุรกิจ และการพัฒนาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ และส่งเสริมพัฒนาศักยภาพบุคลากร ด้านงานวิจัย การผลิตผลงานวิชาการ สู่การเผยแพร่และการนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เชิงสาธารณะ และเชิงนโยบาย ให้กับผู้ประกอบการภาครัฐและเอกชน รวมถึงการให้บริการฝึกอบรมแก่บุคคลทั่วไปและหน่วยงานต่างๆ ในประเด็นและหัวข้อทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ และการใช้ซอฟต์แวร์ทางด้านธุรกิจ นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่ดูแลหน่วยงานวิจัยเฉพาะทาง ในหลักสูตรต่อไปนี้ หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ สาขาวิชาการจัดการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ และหลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเทคโนโลยีและสารสนเทศทาง

         กลุ่มงานที่ 4 ศูนย์ข้อมูลธุรกิจการเกษตรอีสาน (Northeastern Agriculture Business Data Center) มีภาระหน้าที่เกี่ยวกับการเก็บรวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจการเกษตร การกำหนดแนวทางและการส่งเสริมช่องทางการจัดจำหน่ายธุรกิจการเกษตร การวิจัยธุรกิจการเกษตร การส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจการเกษตร การสร้างสรรค์นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ทางด้านธุรกิจเกษตร การตลาดระหว่างประเทศ การตลาดเพื่อการส่งออกธุรกิจการเกษตร และส่งเสริมพัฒนาศักยภาพบุคลากร ด้านงานวิจัย การผลิตผลงานวิชาการ สู่การเผยแพร่และการนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เชิงสาธารณะ และเชิงนโยบาย ให้กับผู้ประกอบการภาครัฐและเอกชน รวมถึงการให้บริการฝึกอบรมแก่บุคคลทั่วไปและหน่วยงานต่างๆ ในประเด็นและหัวข้อทางด้านเศรษฐกิจพอเพียง นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ดูแลหน่วยงานวิจัยเฉพาะทาง ในหลักสูตรต่อไปนี้ หลักสูตรเศรษฐศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ หลักสูตรเศรษฐศาสตรมหาบัณฑิต

         กลุ่มงานที่ 5 ศูนย์ศึกษาธุรกิจและเศรษฐกิจอาเซียน (Asian Economic and Business Studies Center) มีภาระหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยเพื่อเพิ่ม ขีดความสามารถทางธุรกิจให้กับประเทศในกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเพื่อนบ้านที่มีเขตชายแดนติดต่อกันกับประเทศไทย ส่งเสริมให้เกิดการบูรณาการ ในประเด็นทางการค้า สิ่งแวดล้อมและการพัฒนา ตลอดจนเป็นศูนย์ข้อมูลเพื่อการค้า การวิจัย การลงทุน การท่องเที่ยว และการศึกษา รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่างประเทศ และส่งเสริมพัฒนาศักยภาพบุคลากร ด้านงานวิจัย การผลิตผลงานวิชาการ สู่การเผยแพร่และการนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เชิงสาธารณะ และเชิงนโยบาย ให้กับผู้ประกอบการภูมิภาคอาเซียนและต่างประเทศ รวมถึงการให้บริการฝึกอบรมแก่บุคคลทั่วไปและหน่วยงานต่างๆ ในประเด็นและหัวข้อทางด้านการค้าเสรีและการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ดูแลหน่วยงานวิจัยเฉพาะทาง ในหลักสูตรต่อไปนี้ หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาธุรกิจระหว่างประเทศ

         กลุ่มงานที่ 6 ศูนย์ร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก (Public and Government Affairs Cooperation Center) มีภาระหน้าที่เกี่ยวกับการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก ภาครัฐและเอกชน ในการบริการวิชาการ การวิจัย การจัดกิจกรรมอบรมสัมมนาทางวิชาการ หรือการวิจัยระดับชาติและนานาชาติ และส่งเสริมพัฒนาศักยภาพบุคลากร ด้านงานวิจัย การผลิตผลงานวิชาการ สู่การเผยแพร่และการนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เชิงสาธารณะ และเชิงนโยบายให้กับผู้ประกอบการภาครัฐและเอกชน รวมถึงการให้บริการฝึกอบรมแก่บุคคลทั่วไปและหน่วยงานต่างๆ ในประเด็นและหัวข้องานวิจัยที่ได้รับการจัดสรรทุนอุดหนุนงานวิจัยภายนอก